การตั้งค่าภาษี
การตั้งค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
โปรแกรมเงินเดือน Business Plus HRM ได้ตั้งค่าระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไว้เรียบร้อยแล้ว และโปรแกรมจะคำนวณเป็นไปตามที่กรมสรรพากรกำหนด และมีความถูกต้อง 100 %
ตั้งค่าตารางภาษี
ตามที่ทราบกันว่าผู้มีเงินได้ทุกคนจะต้องเสียภาษีและตามกฎหมายนายจ้างจะต้องทำการหักภาษีเพื่อนำ
ส่งกรมสรรพากร
ดังนั้นสิ่งที่ควรทราบคือ
วิธีการคิดภาษี
มีเงินเพิ่มเงินหักประเภทใดบ้างที่สามารถหักค่าใช้จ่ายและสามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้
อัตราภาษีก้าวหน้า
และภายหลังจากการหักภาษีแล้วนายจ้างต้องทำรายงานใดบ้างเพื่อนำส่งกรมสรรพากร
ซึ่งปกติโปรแกรมจะสร้างมาตรฐานในการคำนวณภาษีเงินได้ไว้ให้แล้ว
ให้ตรงตามประมวลรัษฎากรในปัจจุบัน
1.
การคำนวณภาษี โปรแกรมได้ทำการกำหนดรายการคำนวณภาษีไว้ตรงตามกฎหมายฉบับปัจจุบันอยู่แล้ว ซึ่งถ้ากฎหมายมีการเปลี่ยนแปลง
ผู้ใช้งานสามารถเปลี่ยนแปลงรายการต่างๆ ได้
·
เงินเดือน
ค่าจ้าง บำนาญ ฯลฯ คือ เงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง โบนัส บำเหน็จ
บำนาญ เงินค่าเช่าบ้าน
เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่นายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า เงินที่นายจ้างจ่ายชำระหนี้ใดๆ
ซึ่งลูกจ้างมีหน้าที่ต้องชำระเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์ใดๆ
บรรดาที่ได้จากการจ้างแรงงาน เงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวด้วยเหตุที่ออกจากงาน
รวมทั้งเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานที่มีระยะเวลาการทำงานน้อยกว่า 5 ปี
เงินที่นายจ่ายให้ครั้งเดียวด้วยเหตุที่ออกจากงาน
รวมทั้งเงินชดเชยตามกฏหมายแรงงานที่มีระยะเวลาการทำงานมากกว่า 5 ปีขึ้นไป
ที่เลือกนำมารวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่น
·
หักเงินสนับสนุนการศึกษาคือ
เงินที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษา หักได้ 2
เท่ของจำนวนเงินที่จ่ายไปจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 10
ของเงินได้คงเหลือหลังหักค่าใช้จ่ายและลดหย่อนแล้ว
·
เงินบริจาคคือ
เงินที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการกุศล หักได้ตามเงินที่จ่ายไปจริง
แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้คงเหลือหลังหักค่าใช้จ่ายและลดหย่อนแล้ว
(รวมกับหักเงินสนับสนุนการศึกษาแล้ว)
·
หักภาษีได้รับยกเว้นจากซื้ออสังหาฯ คือ
การยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพร้อมที่ดิน
หรือห้องชุดในอาคารชุด เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งมีมูลค่าไม่เกิน 5 ล้านบาทสามารถยกเว้นภาษีเงินได้เท่าจำนวนเงินที่จ่ายเป็นค่าซื้ออสังหาริมทรัพย์จริง
แต่ไม่เกินร้อยละสิบของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพร้อมที่ดิน
หรือห้องชุดในอาคารชุด
โดยต้องจ่ายเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ระหว่างวันที่ 21
กันยายน พ.ศ. 2555 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม
พ.ศ. 2555
และต้องมีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์นั้นให้แล้วเสร็จภายในช่วงเวลาดังกล่าว
ต้องใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ครั้งแรกภายในห้าปีภาษี
นับแต่วันที่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แล้ว
และต้องใช้สิทธิเป็นเวลาห้าปีภาษีต่อเนื่องกัน
โดยให้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้เป็นจำนวนเท่า ๆ กันในแต่ละปี
·
เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คือ
ส่วนที่ไม่เกิน 10,000 บาทแรกให้กรอกในรายการค่าลดหย่อน ข้อ 8(ค),
ส่วนที่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 490,000 บาท
ให้กรอกในรายการเงินได้ที่ได้รับยกเว้นข้อ 1(ข) สูงสุดไม่เกิน 15 %ของเงินได้ก่อนหักค่าใช้จ่ายและลดหย่อน
·
เงินสะสม
กบข.
คือ เงินที่ได้จ่ายสะสมเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ สามารถยกเว้นได้ไม่เกิน
500,000 บาท
·
เงินสะสมกองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน คือ
เงินที่ได้จ่ายสะสมเข้ากองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน สามารถหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 500,000
บาท
·
เงินสะสมกองทุนการออมแห่งชาติ
คือ
ผู้เป็นสมาชิกที่จ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนการออมแห่งชาติ
หรือ กอช. สามารถนำไปหักลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง
ในลักษณะการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
แต่เมื่อรวมกับเงินสะสมในลักษณะทำนองเดียวกันแล้ว
ต้องไม่เกินกว่าจำนวนตามที่ประมวลรัษฎากรกำหนด
·
ผู้มีเงินได้ตั้งแต่
65 ปีขึ้นไป หรือพิการไม่เกิน 65 ปี คือ
รายการยกเว้นเงินได้สำหรับผู้มีเงินได้ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป หรือผู้มี
เงินได้เป็นคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
ซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย และมีอายุไม่เกินหกสิบห้าปีบริบูรณ์ในปีภาษีที่ได้รับ
สามารถหักลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 190,000 บาท
·
คู่สมรสผู้มีเงินได้ตั้งแต่
65 ปีขึ้นไป หรือพิการไม่เกิน 65 ปี คือ
รายการหักลดหย่อนสำหรับคู่สมรสของผู้มีเงินได้ที่มีอายุตั้งแต่ 65
ปีขึ้นไปหรือคู่สมรสของผู้มีเงินได้เป็นคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
ซึ่งเป็นผู้อยู่ใน ประเทศไทย
และมีอายุไม่เกินหกสิบห้าปีบริบูรณ์ในปีภาษีที่ได้รับ
สามารถหักลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 190,000 บาท
·
เงินชดเชยที่ได้รับตามกฎหมายแรงงาน คือ
เงินที่พนักงานได้รับเป็นเงินก้อนเดียวเพื่อออกจากงานและเป็นส่วนที่ไม่เกินค่าจ้างหรือเงินเดือนค่าจ้างของการทำงาน
300 วันสุดท้าย แต่ไม่เกิน 300,000 บาท ทั้งนี้มีระยะเวลาการทำงานน้อยกว่า 5
ปี
·
ผู้มีเงินได้ คือ
การหักลดหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้ตามกฏหมายหักได้ 60,000
บาทไม่ว่าจะอยู่ในประเทศไทยถึง 180 วันหรือไม่ก็ตาม
·
คู่สมรส
คือ
(1) สามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ที่มีสิทธิหักลดหย่อน
จะต้องเป็นสามีหรือภริยาชอบด้วยกฎหมาย การสมรส
ไม่ครบปีภาษีก็มีสิทธิหักลดหย่อนได้ เช่น
จดทะเบียนสมรสระหว่างปีภาษี หรือตายในระหว่างปีภาษี ก็มีสิทธิหักลดหย่อนได้ 60,000 บาท (2) สามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ที่จะนำมาหักลดหย่อนจะต้องไม่มีเงินได้พึงประเมินหรือมีแต่ไม่ได้แยกคำนวณภาษี
ตัวอย่าง สามีภริยาแต่งงานครบปีภาษีและต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ประเภทที่ 1
กรณีดังกล่าว ภริยาสามารถแยกคำนวณภาษีต่างหากจากสามีได้โดยชอบ
ทั้งสามีภริยาจึงไม่มีสิทธินำคู่สมรสมาหักลดหย่อนได้
แต่หากภริยามีเงินได้ประเภทอื่น
(2-8) ให้สามีนำเงินได้ของภริยามารวมคำนวณและมีสิทธินำคู่สมรสมาลดหย่อนภาษีได้
·
บุตรไม่ศึกษาและบุตรศึกษา คือ การหักลดหย่อนบุตร
ให้หักสำหรับบุตรชอบด้วยกฎหมาย หรือบุตรบุญธรรมของผู้มีเงินได้
รวมทั้งบุตรชอบด้วยกฎหมายของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ด้วย
โดยมีเงื่อนไขว่าบุตรที่เกิด ก่อนหรือ ในพ.ศ.2522 หรือที่ได้รับเป็นบุตรบุญธรรม ก่อน พ.ศ. 2522 คนละ
15,000 บาท บุตรที่เกิด หลัง พ.ศ.2522 หรือที่ได้รับเป็นบุตรบุญธรรมในหรือหลังพ.ศ.2522 คนละ
15,000 บาท แต่รวมกันต้องไม่เกิน 3 คน
การนับจำนวนบุตรให้นับเฉพาะบุตรที่มีชีวิตอยู่ตามลำดับอายุสูงสุดของบุตรโดยให้นับรวมทั้งบุตร
ที่ไม่อยู่ในเกณฑ์ได้รับการหักลดหย่อนด้วย
การหักลดหย่อนสำหรับบุตร ให้หักได้เฉพาะบุตรซึ่งมีอายุไม่เกิน
25 ปี
และยังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยหรือชั้นอุดมศึกษาเฉพาะภายในประเทศให้ลดหย่อนเพื่อการศึกษาได้อีกคนละ
2,000 บาท หรือเป็นผู้เยาว์
หรือศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถอันอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดู
แต่มิให้หักลดหย่อนสำหรับบุตรดังกล่าวที่มีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วตั้งแต่
15,000 บาทขึ้นไปโดยเงินได้
ดังกล่าวต้องไม่ใช่เงินได้ที่ได้รับยกเว้นตามมาตรา 42 ให้ไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ การหักลดหย่อนสำหรับบุตรดังกล่าว
ให้หักได้ตลอดปีภาษี ไม่ว่ากรณีจะหักได้นั้นจะมีอยู่ตลอดปีภาษีหรือไม่
และในกรณีบุตรบุญธรรมนั้นให้หักลดหย่อนในฐานะบุตรบุญธรรมได้ในฐานะบุตรผู้มีเงินได้
·
ค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตรในปี คือ ถ้าเป็นค่าฝากครรภ์และคลอดบุตรที่ไม่ได้เกิดขึ้นในปีภาษีเดียวกัน จะได้รับสิทธิลดหย่อนตามจำนวนที่จ่ายจริงรวม
2 ปี ต้องไม่เกิน 60,000 บาท เช่น ในปี 2561 จ่ายค่าฝากครรภ์ไปจำนวน 10,000
บาท ก็จะสามารถหักลดหย่อนภาษีปี 2561 ได้
10,000 บาท และในปีถัดไป จะสามารถลดหย่อนได้ไม่เกิน
50,000 บาท เท่านั้น
·
บุตรที่เกิดก่อนปี
พ.ศ.2561 คือ ได้รับค่าลดหย่อนจากการเลี้ยงดูบุตรอายุไม่เกิน
20
ปีหรือยังไม่บรรลุนิติภาวะ โดยลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท ไม่จำกัดจำนวนบุตรแต่ถ้าคลอดบุตรคนแรกในปี 2561
ก็จะสามารถลดหย่อนภาษีค่าเลี้ยงดูบุตรได้ 30,000 บาท
ตามอัตราเดิมที่เคยกำหนดไว้
·
บุตรตั้งแต่คนที่
2 ที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ.2561 คือ กรณีคลอดบุตรในปี 2561
และเป็นบุตรคนที่ 2 ขึ้นไป
รัฐบาลเพิ่มค่าลดหย่อนให้อีกคนละ 30,000 บาท ดังนั้น
จะหักลดหย่อนภาษีได้ถึงคนละ 60,000 บาท
·
อุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา คือ ค่าลดหย่อนบิดามารดา กรณีผู้มีเงินได้และคู่สมรสที่มีเงินได้รวมคำนวณภาษีหรือคู่สมรสไม่มีเงินได้
อุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาที่มีอายุ
60ปีขึ้นไป ซึ่งมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ
ผู้มีเงินได้และ คู่สมรสมีสิทธิหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาได้คนละ
30,000
บาท ทั้งนี้ บิดาหรือมารดาของผู้มีเงินได้หรือคู่สมรส
จะต้องออกหนังสือรับรองว่าบุตรคนใดคนหนึ่งเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูเพียงคนเดียว
·
อุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือทุพพลภาพ คือ
ผู้มีเงินได้ที่ได้อุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือคนทุพพลภาพ ลดหย่อนได้คนละ
60,000 บาท ซึ่งบุคคลที่อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของผู้มีเงินได้
จะต้องมีบัตรประจำตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
และมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท
ผู้มีเงินได้ที่เป็นผู้ใช้สิทธิหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการ
จะต้องมีหนังสือรับรองการหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูที่ต้องได้ลงนามรับรองให้เป็นผู้มีสิทธิเพียงผู้เดียวด้วยแบบ
ล.ย.04 และต้องระบุเลขประจำตัวประชาชนของคนพิการหรือคนทุพพลภาพตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฏร์
·
เบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดา คือ
เงินได้เท่าที่ผู้มีเงินได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัยให้แก่บริษัทประกันชีวิตหรือบริษัทประกันวินาศภัยที่ประกอบกิจการในราชอาณาจักรตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท
สำหรับการประกันสุขภาพบิดามารดาของผู้มีเงินได้
รวมทั้งบิดามารดาของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ซึ่งมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ
ทั้งนี้ ต้องเป็นเบี้ยประกันภัยที่ได้จ่ายในปี พ.ศ. 2549
เป็นต้นไป
และให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้
(ฉบับที่ 162) เรื่อง
กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่ผู้มีเงินได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัย
สำหรับการประกันสุขภาพบิดามารดาของผู้มีเงินได้
รวมทั้งบิดามารดาของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
1 มกราคม พ.ศ. 2549 เป็นต้นไปเบี้ยประกันชีวิต คือ
เงินที่ผู้มีเงินได้ที่ชำระค่าเบี้ยประกันในปีภาษีนั้นๆ
ซึ่งกรมธรรม์ประกันชีวิตที่จะนำมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้ต้องมีระยะเวลาคุ้มครอง10ปีขึ้นไปหรือตลอดชีพต้องเป็นกรมธรรม์ประกันชีวิตที่ซื้อกับบริษัทที่ประกอบกิจการในประเทศไทยเท่านั้นผู้มีเงินได้สามารถหักลดหย่อนภาษีเงินได้ตามจำนวนเบี้ยประกันที่จ่ายจริงสูงสุดได้ถึง
100,000 บาท ในกรณีที่ผู้มีเงินได้มีคู่สมรส
ที่ความเป็นสามีภรรยามีอยู่ตลอดปีภาษี
ซึ่งคู่สมรสมีกรมธรรม์ประกันชีวิตระยะเวลาคุ้มครอง 10
ปีขึ้นไปที่ซื้อกับบริษัทประกันชีวิตที่ประกอบกิจการในประเทศไทยหากคู่สมรสไม่มีเงินได้ผู้มีเงินได้สามารถนำเบี้ยประกันชีวิตของงคู่สมรสมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้ตามที่จ่ายจริง
แต่ไม่เกิน 10,000 บาท
·
เบี้ยบำนาญ คือ
ประกันชีวิตแบบบำนาญที่จะสามารถนำมาหักลดหย่อนได้นั้น
จะต้องเป็นกรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีกำหนดเวลาตั้งแต่ 10 ปี ขึ้นไป
และได้ทำสัญญาไว้กับบริษัทประกันชีวิตที่ประกอบกิจการ
ในประเทศไทย
และจะต้องไม่มีการจ่ายเงินหรือผลประโยชน์ใดๆ ให้กับผู้เอาประกันในระหว่างปี
หรือช่วงเวลาที่ผู้เอาประกันได้จ่ายเบี้ยประกันชีวิต
หรือก่อนกรมธรรม์มีอายุครบสัญญา และเมื่อผู้เอาประกันอายุครบ 55 ปี หรือ 60 ปี
จะได้รับเงินคืน (บำนาญ) เป็นรายงวดเท่าๆ กันอย่างสม่ำเสมอจนถึงอายุ 85
ปี หรือมากกว่า นอกจากนั้น
เงินบำนาญหรือเงินคืนที่ได้รับต้องไม่มีลักษณะเป็นเงินก้อนหรือเงินอื่นที่คำนวณจากทุนประกัน
โดยผู้เอาประกันจะได้รับเงินบำนาญคืนเมื่อได้ชำระเบี้ยประกันครบตามสัญญาแล้วสำหรับวงเงินส่วนที่ให้หักลดหย่อนได้เพิ่มขึ้นจำนวน
200,000 บาทนั้น ต้องไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมิน
และเมื่อรวมกับเงินได้ที่จ่ายเข้ากองทุนประเภทเดียวกันประเภทอื่นๆ เช่น
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎหมาย ว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
หรือกองทุนสงเคราะห์ครูตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน
และเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แล้วต้องไม่เกิน
500,000 บาท
โดยมีผลบังคับใช้สำหรับเงินได้พึงประเมินประจำปีภาษี 2553 ที่ต้องยื่นรายการในปี พ.ศ. 2554 เป็นต้นไป
·
ค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน
คือ
เงินได้ที่ผู้มีเงินได้ซื้อกองทุนรวม RMF สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีในอัตราไม่เกินร้อยละ
15 ของเงินได้พึงประเมิน
ทั้งนี้ จะต้องมีจำนวนไม่เกิน 500,000 บาท สำหรับปีภาษีนั้น
กรณีที่ผู้มีเงินได้จ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือได้จ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการด้วยเงินได้ที่ได้รับยกเว้นดังกล่าว
เมื่อรวมกับเงินสะสมที่จ่ายเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการต้องไม่เกิน
500,000 บาท
·
ค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน
RMF คือ
เงินได้ที่ผู้มีเงินได้ซื้อกองทุนรวม RMF สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีในอัตราไม่เกินร้อยละ
15 ของเงินได้พึงประเมิน
ทั้งนี้ จะต้องมีจำนวนไม่เกิน 500,000 บาท สำหรับปีภาษีนั้น
กรณีที่ผู้มีเงินได้จ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือได้จ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการด้วยเงินได้ที่ได้รับยกเว้นดังกล่าว
เมื่อรวมกับเงินสะสมที่จ่ายเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการต้องไม่เกิน
500,000 บาท
·
ค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน
LTF คือ
เงินได้ที่ผู้มีเงินได้ซื้อกองทุน LTF ซึ่งสามารถนำมาหักลดหย่อนได้ไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมิน ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 500,000 บาท สำหรับปีภาษีนั้น
และเงินได้ดังกล่าวต้องเป็นเงินได้ของผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา
แต่ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลและกองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง
·
ดอกเบี้ยกู้ยืมเพื่อซื้อ
เช่าซื้อ หรือสร้าง คือ ดอกเบี้ยจากการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ
เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารอยู่อาศัย
โดยอาคารที่อยู่อาศัยจำนองอาคารที่ซื้อหรือสร้างเป็นประกันการกู้ยืมนั้น
ตามจำนวนเงินที่ได้จ่ายไปจริงแต่ไม่เกิน
100,000
บาท ทั้งนี้
เฉพาะดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่ได้จ่ายตั้งแต่ 1 มกราคม
พ.ศ.2550
·
อื่นๆ คือ
เงินหักลดหย่อนอื่นๆ ตามที่กำหนดในประมวลรัษฎากร นอกเหนือจากค่าลดหย่อนลำดับที่
1-11
·
เงินได้ที่จ่ายไปเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ คือ อาคารพร้อมที่ดิน
หรือห้องชุดในอาคารชุด ต้องมีมูลค่าไม่เกิน 3
ล้านบาท เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของตนเอง
โดยมีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์นั้นให้แล้วเสร็จ ในระหว่างวันที่
13 ตุลาคม 2558 ถึงวันที่ 31
ธันวาคม 2559 ให้ใช้สิทธิหักลดหย่อนได้
ไม่เกินร้อยละ 20 ของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์
โดยหักลดหย่อนตั้งแต่ปีที่มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์และให้
หักลดหย่อนต่อเนื่องกัน 5 ปีภาษี ให้เป็นจำนวนเท่าๆ
กันในแต่ละปีภาษี
·
เงินสมทบกองทุนประกันสังคม คือ เงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่ายเข้ากองทุนประกันสังคม
ตามกฎหมายว่าด้วยการ ประกันสังคมตามจำนวนที่จ่ายจริง
ในกรณีสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้
ซึ่งเป็นผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม
ข้างต้นและความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษี ให้หักลดหย่อนได้ด้วย
สำหรับเงินสมทบของสามีหรือภริยาที่จ่ายเข้ากองทุนประกันสังคมดังกล่าวตามเกณฑ์
·
ค่าเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ
คือ สำหรับค่าบริการหรือค่าที่พัก
ในการท่องเที่ยวภายในประเทศค่าเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ
สำหรับค่าบริการหรือค่าที่พัก ในการท่องเที่ยวภายในประเทศ ตั้งแต่วันที่
1
มกราคม พ.ศ. 2558 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ตามที่จ่ายจริง แต่รวมกันไม่เกิน
15,000 บาท
·
ค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการในประเทศ
คือ เงินได้ที่ซื้อสินค้าหรือบริการภายในประเภท ระหว่างวันที่
25
ธันวาคม พ.ศ. 2558 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2558
ไม่รวมถึง การซื้อสุรา
เบียร์ ไวน์ ยาสูบ น้ำมัน ก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ เรือ
โดยผู้มีเงินได้ต้องมีหลักฐานการซื้อสินค้าหรือรับบริการเป็นใบกำกับภาษีเต็มรูปเป็นหลักฐาน ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000
บาท
·
วิธีคำนวณภาษีระหว่างปี คือ การกำหนดวิธีการคำนวณภาษีหัก ณ
ที่จ่ายที่ต้องการระบุให้โปรแกรมคำนวณ
ซึ่งสามารถเลือกวิธีการคำนวณภาษีได้
โดยหลักการคำนวณภาษีของแต่ละวิธีมีดังนี้
·
ตามประกาศ
ป.96/2543 สำหรับวิธีการคำนวณภาษีวิธีนี้เป็นวิธีที่ถูกต้องตามที่กรมสรรพกรได้ประกาศไว้ การคิดคำนวณภาษีวิธีนี้ โปรแกรมนำรายได้ตามมาตรา 40 (1) ไปประมาณการโดยคูณจำนวนคราวที่จะต้องจ่าย (ต่อปี) แล้วนำมาหักค่าใช้จ่าย ค่าลดหย่อน
และคำนวณภาษีตามบัญชีอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดา หารจำนวนคราวที่จะต้องจ่ายทั้งปีเพื่อจ่ายเป็นเงินหัก ณ
ที่จ่าย
·
ถัวเฉลี่ยเฉพาะทำงานตั้งแต่ต้นปี
สำหรับวิธีนี้เป็นวิธีที่กรมสรรพากรยังไม่ได้ประกาศใช้
หากจะใช้วิธีนี้ควรใช้ดุลยพินิจในการตัดสินใจ การคิดคำนวณภาษีวิธีนี้
โปรแกรมจะคำนวณภาษีโดยใช้วิธีถัวเฉลี่ยในการคิดเงินได้พึงประเมินระหว่างปีให้
(วิธีนี้จะใช้ได้กับพนักงานที่เข้างานก่อนปีปัจจุบันเท่านั้น)
หากมีการปรับเปลี่ยนเงินได้ที่ได้ประจำ ณ ปัจจุบัน เช่น เงินเดือน, ค่าตำแหน่ง ฯลฯ
โปรแกรมจะนำเงินที่ได้รับการปรับไปคูณจำนวนเดือนที่เหลือพร้อมนำไปบวกกับผลคำนวณเงินได้ประจำที่เคยได้รับมาก่อนงวดเงิน
เดือนปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น ปรับเงินเดือนในเดือนมีนาคม
ในการคิดเงินได้พึงประเมิน ณ
เดือนมีนาคมโปรแกรมจะนำเงินที่ได้รับการปรับไปคูณจำนวนคราวที่เหลือทั้งปี คือ
10 เดือน (นับเดือนมีนาคมจนถึงเดือนธันวาคม) แล้วนำ
ไปรวมกับเงินเดือนที่ได้รับจริงในเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์
หลังจากนั้นจึงนำไปหักค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อน
แล้วคำนวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
และหารด้วยจำนวนคราวที่ต้องจ่ายภาษีทั้งปีเพื่อเป็นภาษีเงินได้หัก ณ
ที่จ่าย
0 ความคิดเห็น